วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันมาฆบูชา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3

มาฆบูชา

          วัน มาฆบูชา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง จึงมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวันมาฆบูชามาฝาก

ความหมายของวันมาฆบูชา

          คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3

การกำหนดวันมาฆบูชา
          การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม

 ความสำคัญและประวัติของวันมาฆบูชา
          ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
 ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่
          1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์

          2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

          3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6

          4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

          และ เพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ

          จาตุร แปลว่า 4
          องค์ แปลว่า ส่วน
          สันนิบาต แปลว่า ประชุม

          ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเอง
          ทั้งนี้วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์
 ประวัติการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย

          พิธีทำบุญวันมาฆบูชานี้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีมาในสมัยใด อย่างไรก็ตามในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า

          ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
          เมื่อถึงเวลาค่ำ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และภาษาไทย ส่วนเครื่องกัณฑ์ประกอบด้วยจีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึงและขนมต่างๆ เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ

          ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่ นั้นๆ ขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง
          ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอกิจกรรมทางศาสนา

          นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย

 หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ

          หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้

 หลักการ 3 คือหลักคำสอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
          1.การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง อันได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่วทางกาย (การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม)

          2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ) และความดีทางใจ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)

          3.การทำจิตใจให้ผ่องใส คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดหู่ท้อแท้, ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย

          ซึ่งทั้ง 3 หลักการข้างต้น สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" นั่นเอง
 อุดมการณ์ 4 ได้แก่

          1.ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
          2.ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
          3. ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
          4. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

 วิธีการ 6 ได้แก่

          1.ไม่ว่าร้าย คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร
          2.ไม่ทำร้าย คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
          3.สำรวมในปาติโมกข์ คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม
          4.รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่างๆ
          5.อยู่ในสถานที่สงัด คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
          6.ฝึกหัดจิตใจให้สงบ คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี


 กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

          การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธุปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
นอกจาก นี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

 ข้อเสนอแนะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา

 กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
          กิจกรรมที่ครอบครัวควรทำในวันมาฆบูชา อย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน จัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน ชักชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร ฟังศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชาด้วย

 กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา

          ในสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่ง โดยภายในสถานศึกษาควรมีการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา เช่น จัดนิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ บรรยายธรรม หรือร่วมกันทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน บำเพ็ญกุศล อีกทั้งประกาศเกียรติคุณนักเรียนผู้ทำประโยชน์ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

 กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน

          ควรประชาสัมพันธ์ในที่ทำงาน และจัดให้มีการบรรยายธรรม หรือร่วมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน ร่วมทำบุญ บำเพ็ญกุศลร่วมกัน

 กิจกรรมเกี่ยวกับสังคม

          ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น วัด มูลนิธิ สมาคม สื่อมวลชน สนามบิน สถานีรถไฟ ฯลฯ ควรช่วยกันประชาสัมพันธ์ความสำคัญของวันมาฆบูชา อาจเป็นการพิมพ์เอกสารให้ความรู้ จัดให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกอบายมุข แต่รณรงค์ให้ช่วยกันทำประโยชน์ต่อสังคมแทน อาจช่วยกันปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดที่สาธารณะ ฯลฯ

 ประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา

          พุทธศาสนิกชนจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความตระหนักต่อความสำคัญของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชาวพุทธ และยังเป็นการช่วยธำรงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป

นักวิทย์รัสเซียชี้โลกอาจเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ในปี 2014



ภัยหนาว


          ใน ขณะที่ทั่วโลกมีการรณรงค์ลดพฤติกรรมอันก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อนกันอย่างต่อ เนื่อง และเริ่มเอาจริงเอาจังกันมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ดูเหมือนว่า มันไม่อาจยับยั้งการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรของโลกไปได้ เมื่อสภาพอากาศทั่วโลกกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงไป คล้ายจะเป็นสัญญาณว่าโลกทั้งโลกกำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ใน อีกไม่ช้า ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า โลกอาจกำลังเข้าสู่ยุคน้ำแข็งในไม่ช้า และเป็นไปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะเกิดขึ้นในปี 2014 ก็เป็นได้

           โดยในการประชุมภาวะโลกร้อนนานาชาติ ที่จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีก่อน ดร.ฮา บิบูลโล แอ๊บดัซซามาโทฟ หัวหน้าทีมวิจัยอวกาศแห่งหอดูดาวและอวกาศ เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ได้คาดการณ์ว่า โลกอาจจะเข้าสู่ยุค "Little Ice Age" หรือยุคน้ำแข็งเล็ก ๆ รอบใหม่ ในปี 2014 หรืออีกเพียงไม่ถึง 4 ปีข้างหน้า หลังจากคาดว่า จุดดับบนดวงอาทิตย์มีจำนวนลดลง และจะลดลงถึงขีดสุดในปี 2042 ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิลดลงถึงจุดที่เย็นที่สุดในปี 2055-2060

           นอกจากนี้ ดร.ฮาบิบูลโล แอ๊บดัซซามาโทฟ ได้เปิดเผยข้อมูลแสดงจุดดับของดวงอาทิตย์ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อโต้แย้งงานวิจัยอื่น ๆ ว่า แท้ จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบนโลกนั้น ไม่ได้เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนโลกแต่อย่างใด แต่เกิดจากรังสีจากดวงอาทิตย์ต่างหาก โดย ดร.ฮาบิบูลโล ได้แสดงข้อมูลการสำรวจดวงอาทิตย์ในที่ประชุม พร้อมกับระบุว่า มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 700 คนทั่วโลก ที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนโลก

ภัยหนาว

           และเพื่อสนับ สนุนทฤษฎีที่ว่า ดวงอาทิตย์เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลง ดร.ฮาบิบูลโล ได้นำเสนอข้อมูลการสำรวจในปี 1893 ที่บันทึกโดย วอลเตอร์ มอนเดอร์ นักดาราศาสตร์ที่สรุปข้อมูลจุดดับของดวงอาทิตย์ตั้งแต่ปี 1645 - 1715 พบว่า จุดดับของดวงอาทิตย์มีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว และมันก็ทำให้โลกมีอุณหภูมิลดลง ซึ่งในแวดวงวิทยาศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ว่า "ยุคน้ำแข็งเล็ก ๆ" และหลังจากช่วงนั้น ดวงอาทิตย์ก็ได้แผ่รังสีออกมาในระดับสูง และพลังงานดวงอาทิตย์ก็ไหลเวียนอย่างรุนแรงมาก โดยปฏิกิริยาดังกล่าวนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1990 และกินเวลายาวนาน ก่อนการไหลเวียนพลังงานของดวงอาทิตย์จะอยู่ในระดับคงที่ ซึ่งมันก็ทำให้อุณหภูมิของโลกคงที่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่จากการสำรวจล่าสุด พบว่า ดวงอาทิตย์มีการไหลเวียนพลังงานน้อยลง และส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิลดลงอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง ก็ตาม

ภัยหนาว

           สำหรับ จุดดับบนดวงอาทิตย์ ที่ ดร.ฮาบิบูลโล กล่าวถึงนี้ หมายถึง พื้นที่ส่วนหนึ่งบนดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ ซึ่งหากมีจำนวนมากมันจะทำให้รังสีจากดวงอาทิตย์มีปริมาณลดลง ซึ่งจำนวนของจุดมืดนี้จะเพิ่มขึ้นและลดลงไม่เท่ากันตลอดเวลา และจุดมืดแต่ละจุดจะมีอายุตั้งแต่ 1 สัปดาห์ ไปถึงหลายเดือน มีขนาดตั้งแต่ 3,600 กิโลเมตรไปจนถึง 50,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

7 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการมีสุขภาพดี

สุขภาพ

7 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการมีสุขภาพดี
(momypedia)

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ที่หลายคนเข้าใจผิดมานาน

         เอ... เป็นจริงหรือเปล่า คุณคงเคยแอบสงสัยว่าเรื่องเหล่านี้มันจริงเท็จแค่ไหน เราจะมาคลายความสับสนของคุณ ให้เดินหน้าดูแลสุขภาพได้โดยไม่กังวลใจอีกต่อไป

ผิด - ไม่ต้องกินอาหารเช้าก็ได้ เดี๋ยวรวบไปกินมื้อกลางวันทีเดียว

         ถูก - ร่างกายของคุณจะอิดโรยหลังจากขาดอาหารมาหล่อเลี้ยงในช่วงกลางคืน อาหารเช้าจึงเป็นมื้อสำคัญในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เพราะคุณจะยิ่งกินมื้อกลางวันและมื้อเย็นไปเยอะโดยไม่รู้ตัว กินอาหารเช้าแล้วไม่ต้องกลัวด้วย เพราะพลังงานจะถูกใช้ไประหว่างวันอยู่แล้ว

ผิด - อย่ากินอาหารหลัง 6 โมงเย็นเพราะจะทำให้อ้วน

         ถูก - ไม่เกี่ยวกับว่าคุณกินอาหารเมื่อไหร่ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือคุณกินอะไรต่างหาก ต่อให้คุณกินพิซซ่าตอน 5 โมงเย็นก็ทำให้อ้วนได้ นอกจากนั้นถ้าไม่อยากอึดอัดตอนนอน ก็ไม่ควรกินอาหารจนอิ่มเกิน

ผิด - ไขมันและแป้งวายร้ายสุขภาพ

         ถูก - ไม่ใช่การกำจัด แต่สิ่งที่คุณควรทำคือจำกัดประเภทและปริมาณของคาร์โบไฮเดรตและไขมันอย่างเห มะสมต่างหาก คาร์โบไฮเดรตและไขมันเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย คุณควรเลือกกินไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วเหลือง ปลาทะเล และแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีมากนัก เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่วแดง ส่วนเนื้อสัตว์ติดมันและแป้งคือวายร้ายที่มาทำลายสุขภาพในคราบความอร่อย

ผิด - การออกกำลังกายอย่างหนักทำให้คุณร่างกายแข็งแรง

         ถูก - การออกกำลังกายอย่างหักโหมเกินไปมีแต่จะทำให้ร่างกายคุณบอบช้ำ การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ถึงกับต้องทำทุกวัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วันต่อสัปดาห์ เพียงวันละครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือก็ให้ร่างกายคุณได้ฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อบ้าง

ผิด - เงินซื้อสุขภาพดีได้

         ถูก - ไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมายก็มีสุขภาพดีได้ คุณสามารถไปวิ่งหรือปั่นจักรยานที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน หรือจะเอาน้ำใส่ขวดแล้วยกแทนดัมเบลล์ก็ทำให้กล้ามใต้แขนกระชับได้เหมือนกัน คุณไม่จำเป็นต้องซื้อวิตามินมากินเลย เพียงแค่กินอาหารหลากหลายประเภทมากขึ้นเท่านั้น

ผิด - ถ้าไม่ป่วย ไม่อ้วน ก็ไม่ต้องห่วงสุขภาพ

         ถูก - สุขภาพดีไม่ใช่แค่การไม่อ้วนหรือไม่ป่วย คนผอมๆ บางคนก็คอเลสเตอรอลสูงกว่าคนอ้วน ๆ ได้ สุขภาพเป็นเรื่องของชีวิตคุณเอง อย่ารอจนไม่ไหว แล้วค่อยหันมาดูลสุขภาพ

ผิด- สุขภาพดูแลยาก

         ถูก - การดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เราต้องใส่ใจชีวิตเพิ่มบ้างอีกนิด แค่ทำตามหลักการง่าย ๆ คือ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอทำจิตใจให้แจ่มใส ลองเปลี่ยนชีวิตเพียงนิดเดียว คุณก็จะมีความสุขขึ้นเป็นกอง

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติวันวาเลนไทน์



ประวัติวาเลนไทน์
วันวาเลนไทน์ มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้าม ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงครามทรง ต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสน ใจกับการรบมากขึ้น
นักบุญวาเลนไทน์ ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวง ในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำ พิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้าClaudius พระองค์จึงทรงสั่งทหาร ไปจับเขาไปประหารชีวิต
ระหว่างอยู่ในคุก มีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่าน อย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้น เอง ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ตสั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่าน และลงท้ายว่า "Love from your Valentine
ในปี 496 A.D.โป๊ปGelasiusได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์ เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม (โดยเฉพาะ ช็อคโกแลต) ดอกไม้(ส่วนใหญ่จะดอกกุหลาบ) ให้กับคนที่รัก

อีกตำนานของวันวาเลนไทน์
ตำนานแรกบอกว่า วาเลนไทน์เป็นชื่อ ของนักบุญในสมัยคริสตวรรษที่ 3 ของกรุงโรม
ซึ่งขณะนั้นองค์จักรพรรดิ์เคลาดิลุสที่ 2 เห็นว่า ในบรรดาเหล่า ทหารหาญของพระองค์
ชายโสดจะมีประสิทธิภาพในการรบที่.. เยี่ยมกว่า... ชายที่แต่งงานแล้ว
พระองค์จึงประกาศว่า
การแต่งงานของวัยรุ่นนั้นเป็นความผิด นักบวชวาเลนไทน์ไม่เห็นด้วยและยัง
คงประกอบพิธีแต่งงานตามศาสนาแบบลับๆ เมื่อองค์จักรพรรดิ์ทราบจึง...
...รับสั่ง...ให้นักบวชวาเลนไทน์ไปประหารชีวิต 

อีกตำนานหนึ่งบอกว่าความจริงวาเลนไทน์
ได้ส่งการ์ดวาเลนไทน์ใบแรกของโลก
ด้วยตัวเองขณะที่อยู่ในคุกนักบวชวาเลนไทน์
ได้ตกหลุมรักหญิงสาวซึ่งเป็นลูกของ พัสดีที่มาเยี่ยมเยียนเขาก่อนตาย
เขาจึงได้เขียนจดหมายถึงเธอและ เซ็นกำกับว่า FROM YOUR VALENTINE
อีกตำนานหนึ่งระบุไว้ในหนังสือเดอะเวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคเปียเดีย ว่าเรื่องของ
นักบุญวาเลนไทน์ไม่เกี่ยวข้องกับ วันวาเลนไทน์ที่ปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้
อีกตำนาน
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน

ชาว โรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณีอย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรัก กันและแต่งงานกันในที่สุด


ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุ สที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วม ในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุง โรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ ประวัติท่านนักบุญวาเลนไทน์ เซนต์วาเลนไทน์หรือนักบุญวาเลนไทน์นั้นเป็นพระที่อยู่ในกรุงโรมระหว่าง ศตวรรษที่ 3 ในเวลานั้นกรุงโรมถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชนเท่าใดนัก จักรพรรดิคลอดิอุสต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่และหวังให้ชายชาวโรมันทั้ง หลายอาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม แต่ก็ไม่มีชายคนใดจะกระทำตามนั้น จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามให้มีการแต่งงานหรืองานหมั้นใด ๆ เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจรวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้น อย่างลับ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม นักบุญวาเลนไทน์ยังคงรักที่จะทำพิธีเหล่านี้ โดยภายในงานนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงผีเท้าของทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน ในที่สุดนักบุญวาเลนไทน์จึงถูกจับขังคุกและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุก ๆ วัน และแล้ววันหนึ่งสิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวหลายคนมาที่คุกเพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่าง ๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาตให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญ วาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับ ๆ ของท่านนักบุญอีกด้วย ในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตนั้น ท่านได้เขียนจดหมายไว้ฉบับนึงเพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพและความจงรักภักดี ของหญิงสาวผู้นั้น แล้วท่านนักบุญก็ลงท้ายจดหมายฉบับนั้นว่า " Love from your Valentine. " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกันในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน และทุก ๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึงจักรพรรดิคลอดิอุส เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก แล้วก็จะพากันหัวเราะ เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรักนั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนหรือแทนที่ ได้เลย ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์ - หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine." - ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart). - เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบแล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อเพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คน ๆนั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร - ในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับ เขา - บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี - ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุด ราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S)ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป - บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหก ชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ล ได้หมดพอดี - และในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้